หน้าเว็บ

2555-02-12

แด่เธอผู้จากไป: วิทนี่ย์ ฮูสตัน 1963-2012





วิทนี่ย์ อลิซเบธ ฮูสตัน (Whitney Elizabeth Houston) เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1963 ณ เมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเป็นบุตรสุดท้องของ นายจอห์น รัสเซล ฮูสตัน จูเนียร์ (John Russell Houston, Jr) และ นางซิสซี่ ฮูสตัน (Cissy Houston) เนื่องด้วยว่าแม่ของเธอนั้นเป็นนักร้องกอสเปล* อยู่แล้ว เธอจึงเจริญรอยตามแม่ของเธอไปพร้อมกับน้าๆ ของเธอ ดิออน วอร์วิค (Dionne Warwick) และ ดีดี้ วอร์วิค (Dee Dee Warwick) รวมถึงแม่ทูลหัวของเธอ อารีธา แฟรงคลิน (Aretha Franklin) โดยตามไปเป็นนักร้องประสานเสียงให้ตั้งแต่อายุได้ 11 ปี โดยประสบการณ์ตรงนี้ ทำให้เธอเริ่มที่จะเล่นเครื่องดนตรีอย่างเปียโน

เมื่อเข้าสูช่วงวัยสาว วิทนี่ย์เริ่มหันเหเส้นทางจากนักร้องตามไนท์คลับไปสู่วงการเพลงโดยร้องแบคอัพให้กับเพลง 'Life's a Party' ของวง ไมเคิล ซาเกอร์ แบรนด์ (Michael Zager Band) และเพลงฮิตในปี 1978 อย่างเพลง 'I'm Every Woman' ของ ชากา คาน (Chaka Khan) แต่แล้วในช่วงนึง เธอก็เลือกที่จะพักงานด้านการร้องเพลงของเธอไว้ก่อน และหันไปเอาดีในด้านการถ่ายแบบ หลังจากที่มีแมวมองเห็นเธอไปร้องเพลงกับแม่ของเธอที่คาร์เนจี่ ฮอล์ในเมืองนิวยอร์ค จึงได้ชักชวนให้วิทนี่ย์มาลองงานถ่ายแบบดู และในที่สุดวิทนี่ย์ก็กลายเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้ถ่ายแบบขึ้นปกของนิตยสาร Seventeen. วิทนี่ย์รุ่งมากในงานถ่ายแบบ โดยมีผลงานปรากฏยังนิตยสารดังๆหลายเล่มอาทิเช่น Glamour และ Cosmopolitan รวมถึงยังมีงานโฆษณาทางทีวีอีกด้วย



หลังจากวิทนี่ย์ห่างหายไปจากงานเพลงไปพักใหญ่ โอกาสของเธอก็กลับมาอีกครั้งเมื่อ อริสต้า ชีฟ คลิฟ เดวิส (Arista chief Clive Davis) มาพบเธอร้องเพลงกับแม่ของเธอในไนต์คลับแห่งนึงในนิวยอร์ค ด้วยความประทับใจในนำเสียง เขาจึงทำการเซ็นสัญญาวิทนี่เข้าสังกัด Arista Records ของเขาในทันที ซึ่งในขณะนั้นวิทนี่ย์มีอายุได้ 19 ปี ซึ่งต่อมาอริสต้าคนนี้แหละ ที่กลายเป็นเพื่อนผู้คอยให้คำแนะนำต่างๆแก่เธอ

อัลบั้มเปิดตัวของเธอมีชื่อง่ายๆว่า Whitney Houston วางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1985 โดยประสบความสำเร็จทั้งในและนอกประเทศ โดยสามารถคว้าอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 จากซิงเกิ้ล 'Saving All My Love for You', 'How Will I Know' และ 'Greatest Love of All' ก่อนจะทำยอดขายอัลบั้มได้มากกว่า 25 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก อีกทั้งอัลบั้มของเธอยังได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มแห่งปีในงานปี 1986 อีกด้วย จากที่ได้เข้าชิงรางวัลต่างๆในปีนั้นถึง 3 สาขา เธอสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่แรกในชีวิตของเธอมาได้หนึ่งสาขา ในสาขารางวัล 'Best Pop Vocal Performance, Female' จากบทเพลง 'Saving All My Love For You'.

อัลบั้มต่อๆมาของเธออย่าง Whitney ในปี 1987 และ I'm Your Baby Tonight ในปี 1990ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูง โดยสามรถทำยอดจำหน่ายได้เป็นล้านๆแผ่น จากซิงเกิ้ลอย่าง 'I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me)' และ 'Where Do Broken Hearts Go'. ในช่วงนี้ เธอได้เริ่มทำการเปิดคอนเสิร์ตไปรอบโลก, ทั้งยังไปร่วมปรากฏตัวบนเวทีงานันเกิด 70 ปีของเนลสัน แมนเดลาที่เวมเลย์ สเตเดียมในเมืองลอนดอน และยังก่อตั้งมูลนิธิ The Whitney Houston Foundation For Children ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ทำเพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ขาดโอกาสจากทั่วโลก และเธอยังได้เป็นตัวแทนร้องเพลงชาติอเมริกาอย่าง 'The Star-Spangled Banner' ในมหกรรมกีฬาของอเมริกาอย่าง Super Bowl ในปี 1991.

ในปี 1989 วิทนี่ย์ได้พบกับชายผู้หนึ่ง ณ งานประกาศผลรางวัล Soul Train Music Awards ซึ่งต่อมาชายผู้นั้นได้กลายเป็นสามีของเธอในที่สุด ชายผู้นั้นมีชื่อว่าบ๊อบบี้ บราวน์ (Bobby Brown) นักร้อง-นักแต่งเพลง R&B ชื่อดัง หลังจากคบหาดูใจกันได้ปีกว่า ทั้งสองก็ประกาศสละโสดในวันที่ 18 กรกฎาคม ปี 1992 โดยในปีถัดมาวิทนี่ย์ก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวเพียงหนึ่งเดียวของเธอ บ๊อบบี๊ คริสติน่า ฮูสตัน บราวน์ (Bobbi Kristina Houston Brown)

ในปี 1992 ซึ่งเป็นปีที่ภาพยนต์เรื่องแรกของวิทนี่ย์อย่าง The Bodyguard ได้เข้าฉาย ร่วมแสดงโดย เควิน  คอสต์เนอร์ (Kevin Costner) โดยตัวภาพยนต์ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามบนตาราง box-office ร่วมถึงเพลงประกอบภาพยนต์ซึ่งวิทนี่ย์ได้ร้องคัฟเว่อร์เพลง 'I Will Always Love You' ของ ดอลลี่ พาร์ตัน (Dolly Parton) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเหมือนเพลงประจำตัวของวิทนี่ย์ เธอยังคงรับงานแสดงต่อจากนั้นอีก อย่างเช่นเรื่อง Waiting To Exhale และ The Preacher's Wife.

หลังจากหันไปเอาดีด้านงานแสดงตั้งแต่ปี 1990 แปดปีหลังจากนั้นวิทย์นี่ได้กลับมาออกอัลบั้มอีกครั้งในปี 1998 กับอัลบั้ม My Love Is Your Love ซึ่งเป็นอัลบั้มที่โชว์ให้เห็นความทันสมัยในแนวเพลงของเธอ ก่อนที่เธอจะออกอัลบั้มรวมฮิตตามมาในปี 2000.

ช่วงปลายปี 1990 เริ่มมีข่าวซุบซิบเรื่องการใช้ยาเสพติดของวิทนี่ย์ตามหน้าหนังสือพิมพ์ เธอเริ่มขาดงาน, มาสาย, รวมถึงสภาพที่ย่ำแย่จากน้ำหนักที่ลดลงอย่างผิดหูผิดตา Sและข่าวยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นอีกในช่วงปี 2000 เมื่อมีการตรวจพบกัญชาในกระเป๋าของเธอและสามีที่สนามบินในฮาวาย แม้กระนั้นเธอก็ยังคงออกมาปฏิเสธว่าเธอไม่เคยใช้ยา และยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติดใดๆ เลย

Just Whitney อัลบั้มเต็มชุดที่ 5 ของเธอออกวางจำหน่ายในปี  2002 แต่ได้รับการวิจารณ์ที่หลากหลายในอัลบั้มนี้ แม้จะทำยอดขายได้ดีไปทั่วโลก ทั้งยังข่าวคาวรักๆ เลิกๆของเธอและสามีก็เริ่มถูกสื่อเล่นข่าวมากขึ้น จนในที่สุดข่าวลือก็เป็นจริงเมื่อเธอตัดสินใจจบชีวิตคู่ลงในปี 2007 โดยเธอได้สิทธิในการเลี้ยงลูกสาวอย่างเต็มตัว

อัลบั้มชุดที่ 6 สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดของเธอ อย่างอัลบั้ม I Look to You ออกวางจำหน่ายในปี 2009 มีซิงเกิ้ลฮิตอย่างเพลง 'I Look To You' และ 'Million Dollar Bill'. ในปีนั้นเธอยังได้ไปออกรายการ Oprah Winfrey เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีเพื่อโปรโมทอัลบั้ม และยอมรับกลางรายการว่าในอดีตเธอและสามีเคยเสพยาจริงโดยหนึ่งในสารเสพติดนั้นก็คือโคเคน อีกทั้งในปีนั้นเธอยังได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกอีกครั้งในรอบ 10 ปี

เดือนพฤษภาคมปี 2011  วิทนี่ย์เข้ารับการบำบัดยาเสพติดและแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ดูเหมือนว่าหน้าที่การงานของเธอจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่าเธอจะกลับมารับบทนำในหนังรีเมคปี 1976 ที่มีชื่อว่า Sparkle รวมทั้งยังมีข่าวว่าเธอจะมาร่วมเป็นกรรมการนั่งโต๊ะในรายการ The X Factor ซีซั่นที่ 2 อีกด้วย.

อย่างไรเสีย วิทนี่ย์ ฮูสตัน (Whitney Houston) ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตในห้องพักของเธอในโรงแรม เบเวอร์ลี่ฮิลส์ ฮิลตัน ในบ่ายวันเสาร์ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยมีอายุได้ 48 ปี ส่วนสาเหตุการตายของเธอยังไม่ได้รับการเปิดเผย

*กอสเปล (อังกฤษ: Gospel music) คือแนวเพลงที่เน้นเสียงร้องเป็นหลัก กอสเปลจะมีลักษณะการร้องประสานเสียง การร้องเฉลิมฉลอง และใส่ความเชื่อทางศาสนาในเนื้อร้อง โดยกอสเปลได้ซึมเข้าไปดนตรีหลายๆประเภทอย่าง ดู-ว็อป ,คันทรี-กอสเปล,contemporary gospel, urban contemporary gospel,Modern Gospel music [wikipedia]


ที่มา: digitalspy
แปลและเรียบเรียงโดย: Mickey Mart